Skip to content
Dalla Valle Maya นับได้ว่าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยเจ้าของแบรนด์ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับไร่องุ่น Dalla Valle ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย Gustav และ Naoko Dalla Valle เมื่อปีค.ศ.1982 ที่บริเวณเนินเขาทางตะวันออกของเมือง Oakville โดยประวัติศาสตร์ของครอบครัว Dalla Valle ได้มีการผลิตไวน์ที่ประเทศบ้านเกิดอย่างอิตาลีมาอย่างยาวนาน ไวน์ชนิดแรกของ Dalla Valle อย่าง Dalla Valle Cabernet Sauvignon นั้นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีค.ศ.1986 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาได้ก่อตั้งโรงงานผลิตไวน์ขึ้น
โดยไร่องุ่น Dalla Valle มีพื้นที่ 25 เอเคอร์หรือประมาณ 63.25 ไร่ ได้มีการแบ่งพื้นที่ปลูกต้นองุ่นสายพันธุ์หลักคือสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และสายพันธุ์ Cabernet Franc สำหรับองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot ก็ได้มีการปลูกอยู่ในบริเวณเล็กๆ ที่ไร่แห่งนี้เช่นเดียวกัน ด้วยดินในบริเวณไร่มีส่วนผสมของดินภูเขาไฟทำให้สภาพพื้นดินของไร่แห่งนี้เหมาะสมอย่างมากแก่การเพาะปลูกไวน์ระดับพรีเมี่ยม พวกเขาเริ่มปลูกองุ่นด้วยวิธีออแกนิคในปีค.ศ. 2007 และค่อยๆเปลี่ยนมาใช้วิธีการปลูกแบบไบโอไดนามิคแทนปีค.ศ. 2017 ด้วยวิธีการปลูกแบบไบโอไดนามิคนี้จะช่วยรักษาสุขภาพของต้นองุ่น และยังช่วยยืดอายุของต้นองุ่นให้ยาวขึ้นอีกด้วย
ที่ Dalla Valle จะผลิตเหล้าแชมเปญแดงสามชนิดต่อการเก็บเกี่ยวหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือ เหล้าแชมเปญ Collina Dalla Valle ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.2007 ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ทานได้เพลิดเพลินไปกับความอ่อนเยาว์ของไวน์ชนิดนี้ ด้วยราคาที่จับต้องได้ง่ายมากที่สุดของแบรนด์ Dalla Valle และการผสมผสานที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี ต่อมาคือเหล้าแชมเปญ Dalla Valle Cabernet Sauvignon ซึ่งเป็นไวน์ชนิดแรกของแบรนด์ที่ผลิตตั้งแต่ปีค.ศ.1986 จุดเด่นของไวน์ชนิดนี้คือรสชาติที่ชัดเจนและความอ่อนนุ่มภายในปาก ประกอบกับกลิ่นหอมของราสเบอร์รี่ ผลพลัมสุก กลิ่นของกล่องไม้สนแบบเก่า และแซมด้วยกลิ่นของใบยาสูบ กลิ่นหินที่แห้ง ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ไวน์แดงชนิดที่สามคือเหล้าแชมเปญ Maya ที่ถือได้ว่าเป็นเหล้าแชมเปญระดับเรือธงของแบรนด์เลยที่เดียว โดยไวน์ชนิดนี้ได้ถูกตั้งชื่อตามชื่อของลูกสาว Gustav และ Naoko Dalla Valle ที่ชื่อ Maya ความพิเศษคือไวน์ชนิดนี้จะมีสีแดงเข้ม จากการผสมระหว่างองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Cabernet Franc ในอัตราส่วน 60 ต่อ 40 และมีกลิ่นหอมจากผลไม้สีแดงและผลไม้สีดำ ที่ประกอบไปด้วยเชอร์รี่สีแดง บลูเบอร์รี่ และกลิ่นหอมของอบเชยและโกโก้ที่แทรกมาเพียงเล็กน้อย รสชาติของเหล้าแชมเปญ Maya นี้เมื่อทานแล้วจะได้รสชาติของพลัมและเชอร์รี่สีสีดำอบอวนไปทั่วทั้งปาก ด้วยเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มสวยงามและความแวววับของธรรมชาติ ทำให้เหล้าแชมเปญ Maya ได้รับความนิยมอย่างมาก
อุณหภูมิที่เหมาะสมแก่การเสิร์ฟเหล้าแชมเปญ Maya อยู่ที่ประมาณ 15.5 องศาเซลเซียสเพื่อคงความสดชื่นเอาไว้ โดยอาหารที่เหมาะแก่การรับประทานคู่กับเหล้าแชมเปญนี้คืออาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีกต่างๆ อย่างเนื้อไก่ เนื้อเป็ด และเนื้อไก่งวง เป็นต้น
Dalla Valle Maya
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Blanc des Millenaires 1995 เป็นเหล้าแชมเปญระดับเรือธงของ Charles Heidsieck ที่เด่นในเรื่องของคุณภาพและปริมาณ Blancs des Millénaires ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.1983 ที่เมือง Champagne ประเทศฝรั่งเศส จากนั้นก็ได้ออกวางจำหน่ายในอีก 10 ปีถัดมา พร้อมกับเป็นการเปิดเผยการความรู้และความประณีตในการผลิตเหล้าแชมเปญ Blanc de Blancs ขึ้นเพื่อยืนยันรูปแบบของ Blanc de Blancs โดยหลังจากนั้นทางบริษัทก็ได้ออกเหล้าแชมเปญขึ้นมาอีก 5 ชนิด คือชนิดที่ผลิตในปีค.ศ. 1985, 1990, 1995, 2004 และปีค.ศ. 2006 สำหรับ Charles Heidsieck แล้วอาจเปรียบได้ว่า Blanc เป็นจักรวาลที่สะท้อนถึงความสำเร็จอย่างมากของบริษัท
เหล้าแชมเปญ Blancs des Millénaires ก็คือ Blanc de Blancs ที่ผลิตขึ้นจากองุ่นสายพันธุ์Chardonnays ที่ดีที่สุดกว่า 95% โดยองุ่นสายพันธุ์ Chardonnays นั้นถูกปลูกขึ้นในลักษณะพื้นที่ที่พิเศษและอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกต้นองุ่น นอกจากนี้ภายในไร่องุ่นกว่า 60เฮกตาร์ หรือประมาณ 375 ไร่นี้ได้ให้ความสำคัญอย่างมากแก่การอนุรักษ์ระบบนิเวศภายในไร่จนได้รับการยอมรับว่าเป็นไร่ที่มีคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อมสูง ด้วยโภชนาการของดินภายในไร่ การดูแลรักษาดิน ตลอดจนการจัดการกับต้นองุ่นที่เสีย
ในการผสมเหล้าแชมเปญ Blancs des Millénaires จะใช้เพียงแค่องุ่นสายพันธุ์ Chardonnaysเท่านั้น โดยองุ่นสายพันธุ์นี้จะเติบโตใน 5 พื้นที่ของฝรั่งเศสที่ได้รับการคัดเลือกและพัฒนาความสามารถให้ดึงรสชาติความสุกของผลไม้และความซับซ้อนต่างๆให้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ องุ่นที่เติบโตในพื้นที่เมือง Oger จะให้รสชาติที่นุ่มลื่นและทำให้โครงสร้างของเหล้าแชมเปญมีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้น องุ่นที่เติบโตที่เมือง Mesnil-sur-Oger จะช่วยในเรื่องของความสมดุล องุ่นที่เติบโตที่เมือง Avize จะเด่นในเรื่องของแร่ธาตุ ส่วนองุ่นที่เติบโตในเมือง Cramant จะช่วยให้รสชาติของเหล้าแชมเปญมีความซับซ้อน และสุดท้ายองุ่นที่เติบโตขึ้นมาจากเมือง Vertus และให้ความสดชื่นและกลิ่นหอมของดอกไม้
ในศตวรรษที่ 19 Charles Heidsieck ได้ตัดสินใจซื้อห้องเก็บไวน์ใต้ดินที่ใจกลางเมือง Reims โดยห้องใต้ดินนี้มีความชื้นและอุณหภูมิที่คงที่ และใช้ช่วงเวลาในการบ่มเหล้าแชมเปญถึง 11 ปีทำให้ได้เหล้าแชมเปญที่ทำจากองุ่นสายพันธุ์ Chardonnays 100% ส่งผลให้เหล้าแชมเปญนี้มีความซับซ้อนของรสชาติและสัมผัสที่หาได้ยาก
เหล้าแชมเปญ Blancs des Millénaires เป็นเหล้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับไวน์ขาวที่มีฟองหรือที่เรียกว่า Sparkling Wine มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 12.0% และจุดเด่นอยู่ที่ความซับซ้อนของกลิ่นหอมที่ประกอบไปด้วยกลิ่นของผลไม้แห้ง ผลไม้เชื่อม อัลมอนด์และเฮเซลนัทรวมถึงกลิ่นของขี้ผึ้งและตังเมอีกด้วย และรสสัมผัสที่นุ่มเหมือนกับครีม สำหรับเหล้าแชมเปญ Blancs des Millénaires นี้แนะนำให้เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 8 องศาเซลเซียสคู่กับอาหารประเภทเนื้อหมู อาหารทะเล และชีสแบบนุ่มต่างๆ
Blanc des Millenaires 1995
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru ได้ถูกตั้งชื่อตามนักกวีชาวโรมัน Ausonius ผู้ครอบครองพื้นที่ไร่องุ่นมากกว่า 100 เอเคอร์ รอบเมือง Saint Emilion โดยที่ Château Ausone นั้นตั้งอยู่บริเวณเนินเขาทางตอนใต้ของเมือง Saint Emilion โดยมีลักษณะพื้นที่ที่เป็นทางชันและหันไปทางฝั่งทิศใต้ เพื่อป้องกันต้นองุ่นจากลมหนาวทางตอนเหนือ และฝนจากทางฝั่งตะวันออก
แบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Ausone มีไร่องุ่นอยู่จำนวน 7.3 เฮกตาร์ หรือประมาณ 45.625 ไร่ โดยภายในไร่องุ่นนี้ได้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Merlot 50% และสายพันธุ์ Cabernet Franc อีก 50% ของพื้นที่ ต้นองุ่นเหล่านี้จะถูกปลูกประมาณ 6,000 ต้นต่อเฮกตาร์ ด้วยดินหินปูน (Limestone soil) และต้นองุ่นมีการยึดเกาะชั้นดินด้วยดินเหนียวหรือดินร่วงผสมหินปูน ทำให้ต้นองุ่นได้รับแร่ธาตุอย่างเต็มที่ อายุเฉลี่ยของต้นองุ่นในไร่ของ Ausone คือเฉลี่ยประมาณ 50 ปี หรือบางต้นอาจมีอายุถึง 1 ศตวรรษเลยทีเดียว และเมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยว ผลองุ่นภายในไร่ก็จะถูกเก็บเกี่ยวทั้งหมดด้วยมือ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของผลผลิต
ในปีค.ศ. 2009 Ausone ได้มีการเปลี่ยนแปลงห้องใต้ดินขึ้น โดย Alain Vauthier ได้รับถังแสตนเลสแช่เย็นที่มีความจุ 6 เฮกตาร์ลิตรขนาดเล็กมา จึงนำมาใช้เป็นถังเก็บผลไม้ จนกว่าจะได้ผลผลิตที่เพียงพอต่อการนำไปบรรจุในถังไม้ ถังแสตนเลสแช่เย็นจะช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของผลไม้และความสะอาด อีกทั้งยังง่ายต่อการเคลื่อนย้ายผลไม้ลงในถังไม้โอ๊ก การผลิตไวน์จะเริ่มจากการบ่มแบบเย็นในถังไม้โอ๊กขนาดดั้งเดิมที่มีความจุ 54 เฮกโตลิตร ระยะประมาณ 21-35 วัน จากนั้นจึงค่อยบ่มต่อในถังไม้ใหม่ 100% ไวน์จะถูกบ่มในถังอย่างน้อย 18 เดือน หรือในบางครั้งการบ่มไวน์อาจใช้เวลาถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับเหล้าองุ่น ในช่วงที่บ่มไวน์ในถังไม้ ไวน์จะถูกเปลี่ยนจากถังนึงไปสู่อีกถังนึง เพื่อทำการกำจัดตะกอนทุกๆ 3 เดือน ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำให้ไวน์มีความใสเหมือนกับไข่ขาว แต่ก็ยังคงรสชาติที่เข้มข้นไว้ ไวน์ Château Ausone จะยิ่งดีมากขึ้นถ้าบ่มไว้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 15-20 ปี ด้วยระยะเวลาการบ่มที่นานจะทำให้ไวน์มีรสชาติที่นุ่มนวลและหอมมากขึ้น
สุดท้ายนี้ การเสิร์ฟไวน์ Château Ausone ที่ดีควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียสหรือ 60 องศาฟาเรนไฮต์ ด้วยความเย็นที่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิของห้องใต้ดินจะทำให้ไวน์ยังคงความสดชื่นไว้ได้ อีกทั้งไวน์ Chateau Ausone ยังเหมาะแก่การเสิร์ฟคู่กับอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ อย่างเช่น เนื้อลูกวัว เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง เนื้อเป็ด ไก่อบ หรืออาหารประเภทอย่างอื่นๆอีกด้วย นอกจากนี้ Chateau Ausone ยังเข้ากันได้ดีกับอาหารเอเชียอย่างอาหารที่ประกอบไปด้วย ปลาทูน่า เห็ด พาสต้า และชีส
Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
La Dame de Montrose เป็นไวน์ลำดับที่สองต่อจาก CHÂTEAU MONTROSE ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยมาตราฐานที่เข้มงวดแบบเดียวกัน โดยผ่านการผสมชนิดของสายพันธุ์องุ่น Merlot ให้มีความอ่อนนุ่มกว่าปกติ จะเห็นได้ชัดจากกลิ่นของผลไม้สีแดงและรสชาติที่สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนขึ้น ทำให้La Dame de Montrose มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และมีโครงสร้างที่ประณีตซับซ้อนน้อยกว่าCHÂTEAU MONTROSE La Dame de Montrose ได้ถูกผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1986 เพื่อเป็นเกียรติและสดุดีแก่ Yvonne Charmolue ผู้ที่บริหาร Château Montrose ตั้งแต่ปีค.ศ. 1944 จนถึงปีค.ศ. 1960แต่เพียงผู้เดียว
ไร่องุ่นของ Château Montrose ตั้งอยู่บนหนึ่งในพื้นที่ที่ได้เปรียบที่สุดในการเพาะปลูกไวน์ ด้วยพื้นที่ขนาด 95 เฮกตาร์ หรือประมาณ 593.75 ไร่ ล้อมรอบโรงกลั่นเหล้าองุ่น และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ด้านนอก ทำให้ง่ายต่อการทำงานในไร่ ในไร่องุ่นนี้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon เป็นหลัก โดยปลูกทั้งหมด 60% ของพื้นที่ สายพันธุ์ Merlot 32% สายพันธุ์ Cabernet Franc 6% และสายพันธุ์ Petit Verdot อีก 2% โดยที่สายพันธุ์ Cabernet Franc จะเป็นสายพันธุ์ที่มีคุณภาพสูงและขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นหอมที่หรูหราที่ส่งผลให้ไวน์ดูสดใหม่และมีความซับซ้อน ในขณะที่สายพันธุ์ Petit Verdot ก็จะช่วยดึงสีของไวน์ออกมา และมีรสชาติที่คล้ายกับเครื่องเทศและพริกไทย
โดยการเพาะปลูกองุ่นนั้นจะเริ่มวางแผนงานกันตั้งแต่ฤดูหนาว ทั้งการถอนต้นองุ่นทิ้ง การปลูกต้นองุ่นต้นใหม่ และการให้ปุ๋ย รวมไปถึงการพิจารณาการตัดแต่งกิ่งของต้นองุ่นตามผลลัพธ์ของเหล้าองุ่นครั้งก่อนหน้า เนื่องจากการตัดแต่งกิ่งจะส่งผลต่อรูปร่างของพืชและผลผลิตของไร่ในอนาคต จากนั้นต้นองุ่นก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และออกดอกในฤดูร้อนช่วงเดือนมิถุนายน กลิ่นหอมที่สดชื่นของดอกไม้จะเต็มไปทั่วบริเวณไร่ จากนั้นในเดือนสิงหาคมองุ่นก็จะเริ่มสุกและค่อยๆเปลี่ยนสีไปจนกระทั่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง การเก็บเกี่ยวองุ่นจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน โดยเริ่มเก็บเกี่ยวจากสายพันธุ์Merlot และปิดท้ายด้วยสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon องุ่นทุกผลจะถูกเก็บด้วยมือ จากผู้เก็บเกี่ยวที่เชี่ยวชาญร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่จะคอยชิมรสชาติของผลองุ่นทุกๆวันเพื่อตัดสินใจในการเก็บเกี่ยวผลผลิต
หลังจากการคัดแยกผลองุ่นในรอบแรกแล้วผลองุ่นก็จะถูกนำไปเก็บไว้ในโรงเรือน แล้วจึงนำมาคัดแยกด้วยมือและสายตาอีกครั้งก่อนนำไปบรรจุในถัง ทุกๆขั้นตอนของการทำไวน์ได้ถูกออกแบบมาให้ดึงเอาลักษณะของ Terroir และรูปแบบเฉพาะของ Montrose ออกมา โดยจะมีการหมักไวน์ในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสใหม่ 30% ระยะเวลาประมาณ 12 เดือน จากนั้นการผสมไวน์จะเริ่มต้นในเดือนธันวาคม ทุกๆตัวอย่างจะถูกชิมและจัดประเภทตามรูปแบบ แล้วจึงค่อยเลือกจากรูปแบบของไวน์ที่จะนำมาผสมให้ได้ตามลักษณะที่ต้องการ จนได้เป็นไวน์ที่มีสีแดงเข้ม และรสชาติที่แน่นและเข้มข้นในตอนแรก จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่งรสชาติของไวน์จะค่อยๆนุ่มนวลขึ้น และทิ้งท้ายด้วยกลิ่นหอมของผลไม้สุก
ไวน์ La Dame de Montrose มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ประมาณ 13.5% จึงควรรับประทานคู่กับอาการที่มีการย่าง เคี่ยว หรืออาหารประเภทเนื้อย่าง เช่น สเต็ก เนื้อลูกวัว เนื้อหมู เนื้อวัว และ เนื้อกวาง เป็นต้น นอกจากนี้ไวน์ La Dame de Montrose ยังเข้ากันได้ดีกับชีสอีกด้วย
La Dame de Montrose Saint-Estèphe
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru เป็นไวน์แดงจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Château Faugères ที่ได้มีเริ่มมีการผลิตขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 2004 ที่เมือง Saint-Émilion ประเทศฝรั่งเศส โดยไวน์ของ HAUT FAUGÈRES ถือได้ว่าเป็นไวน์ลำดับที่สองของแบรนด์ Château Faugères เลยทีเดียว
โดยที่แบรนด์ Château Faugères นั้นมีไร่องุ่นถึง 37 เฮกตาร์ หรือประมาณ 231.25 ไร่ ที่เมือง Saint-Émilion ไร่องุ่นนี้เป็นไร่ที่ได้รับการสนับสนุนการเพาะปลูกองุ่นตามธรรมชาติ และมีการดูแลอย่างพิถีพิถัน โดยต้นองุ่นจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 ปี ซึ่งให้ผลผลิตได้เฉลี่ย 27 hl/ha ต่อไร่ ในระหว่างที่ต้นองุ่นค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นก็จะได้รับการตัดแต่งกิ่งอย่างดี ด้วยระบบการตัดแต่งกิ่งแบบ Guyot double จากนั้นเมื่อต้นองุ่นเติบโตจนสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้วนั้นก็จะถูกเก็บเกี่ยวด้วยมือเพื่อควบคุมรักษาคุณภาพของผลองุ่น จากนั้นก็จะนำผลองุ่นไปคัดแยกถึง 2 ครั้งที่บริเวณห้องใต้ดิน โดยผลองุ่นที่ไม่ผ่านการคัดแยกจะต้องถูกส่งไปยังถังหมักด้วยแรงโน้มถ่วงและต้องไม่ถูกสูบขึ้นมา เมื่อองุ่นถูกแยกกิ่งก้านออกมาเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำไปผ่านกระบวนการหมักผิวองุ่นก่อนเริ่มการหมักจริง โดยในกระบวนการนี้จะใช้อุณหภูมิในการหมักที่ 10 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลา 3-4 วัน เพื่อสกัดสี รสชาติและลักษณะขององุ่นออกมา ในขั้นตอนการหมักไวน์จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 อาทิตย์ที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียสถึง 30 องศาเซลเซียสในถังรูปทรงกรวยที่ทำจากไม้โอ๊ก (conical oak vats) จากนั้นไวน์ก็จะถูกบ่มต่อในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสเป็นระยะเวลา 14 เดือน
ไวน์ของ HAUT FAUGÈRES เป็นการผสมผสานระหว่างผลองุ่นจาก 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ Merlot 85% สายพันธุ์ Cabernet Franc 10% และสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 5% ในการขั้นตอนการหมักไวน์นั้นก็จะเหมือนกับการหมักไวน์ตัวหลักของ Château Faugères ยกเว้นแต่จะในการหมักไวน์ HAUT FAUGÈRES จะใช้ผลองุ่นที่อ่อนกว่า แต่ความแตกต่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพและศักยภาพของไวน์ลดลงไปแต่อย่างใด ไวน์ของ HAUT FAUGÈRES ก็ยังได้รับการแบ่งประเภทให้อยู่ในกลุ่มของ Saint Emilion Grand Cru
HAUT FAUGÈRES เป็นไวน์ที่มีรสชาติที่คลาสสิกและกลมกล่อม ผสมผสานไปกับกลิ่นหอมของผลไม้ที่สุกเต็มที่ อีกทั้งยังมีกลิ่นของไม้โอ๊กอันเป็นเอกลักษณ์เจืออยู่ด้วย โดยไวน์ของ HAUT FAUGÈRES จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 12.5% ถึง 14.5% ซึ่งถือได้ว่าเป็นปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้สูงจนเกินไปนัก
ด้วยลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวไปของไวน์ HAUT FAUGÈRES ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของผลไม้สุกและรสชาติที่กลมกล่อม ทำให้ไวน์ HAUT FAUGÈRES นั้นเหมาะสมกับการทานร่วมกับอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง หรือ เนื้อสัตว์ปีกอย่าง ไก่ เป็ด และไก่งวง เป็นต้น
HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
G.H. Mumm & Cie Brut เป็นแบรนด์แชมเปญชั้นนำระดับนานาชาติในฝรั่งเศสที่ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1827 ใจกลางพื้นที่กว่า 218 เอเคอร์ โดยลูกชายทั้งสามของ Peter Arnold Mumm ได้แก่ Gottlieb, Jacobus และ Philipp ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตไวน์ขึ้นที่เมือง Reims ประเทศฝรั่งเศส โดยคุณภาพถือเป็นหลักสำคัญที่ G.H. Mumm และผู้สืบทอดทั้งหมดยึดมั่นให้แก่คู่ค้ามาโดยตลอดตั้งแต่ค.ศ.1827 ซึ่งตรงกับคติของ G.H. Mumm ที่ให้ไว้ว่า “Only the best” หรือก็คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นนั่นเอง
พื้นที่ไร่องุ่นกว่า 218 เอเคอร์ของ Maison Mumm ได้ถูกจัดอันดับความประทับใจถึง 98% จากระดับคุณภาพของแชมเปญ และพื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่จัดอยู่ใน Grands Crus ที่มีชื่อเสียงที่สุดแปดรายการ ได้แก่ Aÿ, Bouzy, Ambonnay, Verzy, Verzenay, Avize, Cramant และ Mailly-Champagne ซึ่งการถือครองสินทรัพย์เหล่านี้ ครอบคลุม 25% ของความต้องการในการผลิตของMumm และอีก 75% มาจากผู้ปลูกอิสระที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับบริษัท นอกจากนี้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1840 Maison Mumm ยังได้ริเริ่มนโยบายการสั่งซื้อองุ่นในไร่ที่ดีที่สุดโดยตรงกับเกษตรกรเองแทนการซื้อน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการหมักมาก่อน เนื่องจากบริษัทสามารถตรวจสอบคุณภาพองุ่น ไปจนถึงการสกัดน้ำผลไม้ออกมาได้เองอีกด้วย ด้วยความใส่ใจในการผลิตรวมไปถึงการผสมผสานระหว่างผลผลิตในไร่และจากผู้ปลูกอิสระ ทำให้ Maison Mumm ยังคงสามารถรักษารูปแบบและการตรวจสอบคุณภาพองุ่นได้อย่างใกล้ชิด
ซึ่ง Maison Mumm ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างระบบในการผลิตไวน์เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงสุด รวมถึงการตรวจตราในทุกๆกระบวนการตั้งแต่การปลูกองุ่น ไปจนถึงกระบวนการสำคัญอื่นๆ เช่น ในขั้นตอนการหมักเหล้าแชมเปญ หลังจากกดเพื่อสกัดน้ำองุ่นแล้วจะต้องเก็บไว้ในถัง ที่มีอุณหภูมิระหว่าง 18-20 องศาเซลเซียสและ Mumm ยังระมัดระวังในการแยกประเภทขององุ่นที่มีลักษณะของ Terroir แตกต่างกันออกจากกัน อีกทั้งยังอนุญาตให้มีการหมักครั้งที่สองหรือการหมักแบบ malolactic โดยการหมักแบบ malolactic จะส่งผลให้ไวน์มีความนุ่มนวลขึ้นแต่ก็ไม่ไปลดความสดหรือความมีชีวิตชีวาของไวน์น้อยลงไป โดยไวน์ในขึ้นตอนนี้จะถูกเรียกว่า “still wines” หรือไวน์ธรรมดาที่ไม่มีฟอง หลังจากผ่านขั้นตอนการหมักแล้ว ไวน์จะถูกถ่ายโอนไปยังถังอื่นๆ เพื่อกำจัดยีสต์หรือของแข็งที่อาจส่งผลต่อรสชาติของไวน์ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการผสมซึ่งเป็นศาสตร์ที่มีความซับซ้อนในการผสม still wines ที่มาจากองุ่นมีลักษณะ Terroir ที่แตกต่างกัน ให้ได้แชมเปญที่มีคุณภาพสูงสุดอย่างสม่ำเสมอ และสะท้อนถึงสไตล์ความเป็น Mumm ออกมา Chef de Caves และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตไวน์จะได้ลองชิมและบันทึกรสชาติรสชาติตัวอย่างประมาณ 2,000 รสชาติ เพื่อทำการผสม Cordon Rouge มากถึง 77 แบบในแต่ละปี
สุดท้ายนี้แชมเปญของ Mumm แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของภูมิภาคที่ปลูกไวน์ และความเชี่ยวชาญกว่าสองศตวรรษในการสร้างสรรค์ไวน์ชั้นเลิศ ด้วยโครงสร้างรสชาติที่ซับซ้อนและความสดใหม่ของรสชาติผลไม้ ทำให้แชมเปญของ Mumm มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
G.H. Mumm & Cie Brut
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Tullibardine 25 Years Old นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ยอดเยี่ยมอีกอันที่อยากแนะนำให้รู้จัก นี่คือหนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของกลุ่มเหล้าซิงเกิลมอลต์วิสกี้ จาก Highlands ประเทศสกอตแลนด์ กลั่นและบรรจุที่โรงกลั่น Tullibardine ผ่านกระบวนการหมักบ่มด้วยถังไม้เชอรี่ Oloroso เป็นเวลา 25 ปี ในซีรีย์นี้มีการเปลี่ยนรูปแบบและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่เมื่อปี 2013 อีกด้วย อีกทั้งเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ยังเป็นเหล้าที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 43.0% และมีปริมาตรสุทธิบรรจุที่ 700 มิลลิลิตร
กลิ่นแรกของเหล้าวิสกี้นี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นตลบอบอวลของเครื่องเทศและความหอมหวานของน้ำผึ้งมานูก้า (น้ำผึ้งคุณภาพสูงจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เชื่อว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าน้ำผึ้งปกติ) อีกทั้งยังมีความหอมจากกลิ่นไหม้ของต้นโอ้กและขนมปังมอลต์ เจือด้วยกลิ่นของผลไม้สุก หลังจากนั้นกลิ่นที่ตามมาในช่วงต่อไป จะเป็นกลิ่นที่เหมือนกลิ่นของฝุ่นไม้โอ๊กแห้ง ผสมกับกลิ่นผลไม้แห้งซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นของแอพริคอตหรือไม่ แต่นับได้ว่ามีความหอมชวนดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อรสชาติได้สัมผัสที่บริเวณเพดานปากแล้ว จะมีความหนาของเนื้อสัมผัสที่ชัดเจนและมีความนุ่มนวลราวกับเนื้อครีมในเนื้อสัมผัสของเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ โดยเหล้าชนิดนี้จะมีกลิ่นที่เปิดด้วยความขมแบบแยมส้มผสานกันกับกลิ่นกีวี กลิ่นคัสตาร์ด กลิ่นผลแอปเปิล กลิ่นเครื่องเทศอบแห้งและกลิ่นของไม้โอ๊ก กลิ่นเครื่องเทศซึ่งน่าจะเป็นกลิ่นพริกไทยจางๆที่รวมกันกับกลิ่นขิง กลิ่นของโกโก้และกลิ่นความสดชื่นของใบมิ้นท์ ที่ยังคงค้างอยู่บริเวณริมปลายจมูกเมื่อได้ดมกลิ่นและได้รับรสสัมผัสที่คล้ายคลึงกันเมื่อเหล้าชนิดนี้ได้สัมผัสบริเวณบนลิ้นเมื่อได้ชิม นอกจากนี้เหล้าชนิดนี้ยังมีกลิ่นที่เพิ่มเติมเข้ามาด้วยกลิ่นของช็อกโกแลตและถั่วเฮเซลนัท รวมทั้งกลิ่นครีมที่นุ่มนวลบางเบาเหมือนพุดดิ้งครีม ถือว่าเป็นเนื้อสัมผัสแบบที่เป็นเอกลักษณ์มาก แต่กลิ่นที่คลุ้งอยู่ในปากเป็นส่วนมาก จะเป็นกลิ่นหอมอุ่นของไม้แบบเข้มข้น สลับไปมากับกลิ่นหอมของถั่วแบบต่างๆ ปลายกลิ่นจะมีกลิ่นหอมหวานของมะเดื่อผสมกับกลิ่นผลไม้แห้ง กลิ่งของกล้วยและแยมสตรอเบอร์รี่
ในช่วงท้ายของเหล้าวิสกี้ชนิดนี้จะจบลงด้วยรสชาติของความนุ่มนวล ดื่มด่ำ ประทับใจ เข้มข้น ความขมจางๆปลายลิ้นและมีความเข้มข้นแบบดาร์คช็อกโกแลตผสานกันกับความหอมของไม้โอ๊ก เป็นอันว่าจบการดื่มแบบประทับใจไม่รู้ลืม นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้อีกรุ่มหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้นักดื่มทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าได้ลิ้มลองและสัมผัสเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ดูกัน
Tullibardine 25 Years Old
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Lagavulin 1991 Double Matured นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ประเภทเหล้าซิงเกิลมอลต์วิสกี้ชั้นดีจาก United Distillers & Vintners ซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Diageo Plc. ที่มาจาก Islay ประเทศสกอตแลนด์ เป็นวิสกี้ตัวพิเศษในซีรีย์ Distiller’s Edition ผลิตเมื่อปี 1991 บรรจุลงขวดปี 2007 ผ่านการหมักบ่มสองครั้งในถังไม้เชอร์รี่ Pedro Ximenez ซึ่งมีระยะเวลาการผลิตกินเวลา 25 ถึง 30 ปีเลยทีเดียว Lagavulin ตัวนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์ 43.0% ปริมาตรสุทธิ 700 มิลลิลิตรและ 1000 มิลลิลิตร
Lagavulin 1991 Double Matured มีคุณลักษณะที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากด้วยความพิเศษของชั้นความหวานในตัววิสกี้ที่ซับซ้อน ถือว่าเป็นความยอดเยี่ยมที่ยังคงเส้นคงวาและมีชื่อเสียงที่สุด ในบรรดาวิสกี้แบบ Distiller’s Efition series การันตีได้จากรางวัลเหรียญทอง Best in Class ของสถาบัน IWSC และรางวัล Best Peated Malt ในประเภท Premium จากงาน Malt Maniac Awards ปี 2008
มาเริ่มกันที่กลิ่นของวิสกี้ สัมผัสแรกจะได้กลิ่นของถ่านไม้รมควัน (Peaty) กลิ่นของลูกพรุน กลิ่นหอมหวานบางบางของน้ำผึ้ง กลิ่นหอมของใบไม้ใบหญ้า (heather) เมื่อได้ลองชิมรสชาติในช่วงต้น จะมีรสของเชอร์รี่ ความหวานแบบน้ำผึ้ง และฟรุตเค้กเจือปนอยู่ ตามด้วยรสชาติความมัน ตบท้ายด้วยกลิ่นแบบน้ำหอมดอกไม้ ในช่วงท้ายของรสชาติจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นของไม้รมควัน กลิ่นของดาร์กช็อกโกแลต กลิ่นของวานิลลา และความหวานแบบเชอรี่ สัมผัสสุดท้ายที่เหลืออยู่จะเป็นกลิ่นของถ่านไม้รมควัน
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ยังเป็นเหล้าที่มีมนต์เสน่ห์ที่น่าดึงดูดและชวนให้ติดตามด้วยกลิ่นและรสชาติภายนอกที่มีความเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง โดยในส่วนของกลิ่นของเหล้านี้ค่อนข้างโดดเด่นด้วยถ่านไม้และลูกพรุน อีกทั้งเหล้าชนิดนี้ยังเป็นเหล้าวิสกี้ที่รสชาติที่เต็มไปด้วยทั้งความหวาน ความมันในเนื้อสัมผัสและความนุ่มนวลบางเบาอย่างดีอีกด้วยเช่นกัน
Lagavulin 1991 Double Matured
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Longmorn Distiller’s Choice นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ที่ถูกส่งตรงมาจากย่านชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตเหล้าวิสกี้อย่าง Speyside ประเทศสกอตแลนด์ โดยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าทีผ่านกรรมวิธีการหมักบ่มด้วยถังไม้สามชนิดคือ ไม้ Hogshead ไม้ Olorosy sherry และถังไม้ที่ใช้ในการหมักเหล้าเบอร์บอนใบเก่า ปริมาณแอลกอฮอล์ 40% ปริมาตรสุทธิ 700 มิลลิลิตร ด้วยระยะเวลา 16 ปีของการดำเนินการโรงกลั่นนี้ก็มีแฟนตัวยงติดตามอยู่ไม่ใช่น้อยและยังรอคำตอบในเรื่องการลดปริมาณแอลกอฮอล์จาก 48% เป็น 40% อยู่เช่นกัน
สัมผัสแรกเมื่อได้ลองดมตัววิสกี้จะมีกลิ่นหอมหวานของผลไม้ซึ่งให้กลิ่นที่กลมกล่อมใช้ได้ มีกลิ่นของแอปเปิล ผลเบอร์รี่หลากหลายชนิด ลูกแพร ลูกเกดสีทอง คาราเมล กลิ่นหอมของเครื่องเทศต่างๆเช่นกลิ่นของขิง กลิ่นหอมอมเปรี้ยวของผลส้ม ตัวสีสันของวิสกี้จะมีสีทองคล้ายสีของน้ำแอบเปิลอย่างดี
เมื่อได้ลองจิบแล้วในช่วงเริ่มต้นจะรู้สึกได้ถึงรสหวานที่มีรสชาติคล้ายลูกกวาดและสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลและเบาบางราวกับเนื้อครีมสด รวมทั้งยังมีกลิ่นของข้าวมอลต์และคาราเมล ช็อกโกแลตนม และความสดชื่นที่ได้จากผลส้ม ในช่วงกลางของรสชาตินั้นจะสัมผัสได้ถึงความร้อนของพริกไทยกลิ่นของแก่นไม้ที่มีกลิ่นเปรี้ยวเล็กน้อยราวกับกลิ่นคล้ายการฟอกหนัง แต่ช่วงนี้จะรู้สึกได้ว่าค่อนข้างให้รสที่มีความฉุนรุนแรงด้วยเช่นเดียวกัน แต่ยังมีความหวานควบคู่ไปอยู่ และรสชาติวนกลับมาที่ความหวานของส้มอีกครั้ง ในช่วงจบรสชาติจะมีกลิ่นของธัญพืช กลิ่นของพริกไทย และกลิ่นคล้ายหญ้าสีเขียวคู่กันไปกับกลิ่นหอมหวานของทอฟฟี่ที่ผสานกันกับกลิ่นหอมหวานของข้าวบาร์เลย์และกลิ่นเครื่องเทศที่ได้จากไม้โอ๊กอีกด้วย
ภาพรวมของวิสกี้ตัวนี้ ใครที่นิยมชมชอบ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” รสชาติจากอดีตที่ยังคงประทับใจ Longmorn Distiller’sChoice น่าจะตอบโจทย์นักดื่มทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เพียงแค่นี้ เหล้าวิสกี้ชนิดนี้ยังเป็นเหล้าวิสกี้ที่สามารถดึงดูดใจใครหลายคนได้ด้วยกลิ่นและรสสัมผัสที่มีความหลากหลายแต่เข้ากันได้อย่างลงตัว งดงามเป็นอย่างมาก ทั้งส่วนเนื้อสัมผัสที่มีความเบาบางราวกับเนื้อครีมชั้นดีที่ผสานตัวกับรสชาติและกลิ่นที่มีการผสมผสานกันระหว่างความหวาน ความเผ็ดร้อน ความฉุนและความเปรี้ยวกันได้อย่างลงตัวอีกด้วย
Longmorn Distiller Choice
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Firkin 49 นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ชื่อดังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งทั่วโลก โดยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นเหล้าซิงเกิลมอลต์วิสกี้ที่มีอายุการหมักบ่มร่วมราว 8 ปีกว่าด้วยกันในถังไม้เชอร์รี่ทั้งหมดสองชนิดคือ Oloroso และ Amontillado จากโรงกลั่นTullibardine ในปี 2011 แต่วิสกี้ตัวนี้เริ่มผลิตในปี 2012ในเขต Highlands ของประเทศสกอตแลนด์ ตัวเลข 49 นั้นมาจากปีที่เกิดของผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Firkin Whisky Co. นั่นเอง ซึ่งเป็นแบรนด์เหล้าวิสกี้ชื่อดังที่มีการก่อตั้งขึ้นมาในปี 1949
ด้วยระดับของปริมาณแอลกอฮอล์ของเหล้าวิสกี้ชนิดนี้จะอยู่ที่ 48.9% ปริมาตรสุทธิ 700 มิลลิลิตร เป็นวิสกี้ที่ไม่ผ่านกระบวนการกลั่นเย็นจึงให้สีน้ำตาลทองแบบธรรมชาติ ตามที่คุณ Mike Collings ผู้รังสรรค์วิสกี้ตัวนี้ตั้งใจเอาไว้ ถือว่าเป็นวิสกี้ที่โดดเด่นด้วยกรรมวิธีการพักวิสกี้เอาไว้ในถังไม้ทั้งสองแบบดังที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้นจึงให้คุณลักษณะที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
เนื่องจากมีการใช้ทั้งไม้สองชนิดในการหมักเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ จึงทำให้ได้รสชาติที่มีความนุ่มนวลในเนื้อสัมผัสราวกับเนื้อครีมที่กลมกล่อมหอมแบบถั่วและผลไม้แห้งผสมกัน แน่นอนที่จะมีกลิ่นโดดเด่นของไม้เชอรี่โดดเด้งออกมาเมื่อได้สัมผัสกับกลิ่นของวิสกี้ในครั้งแรก ตามด้วย รสชาติในแบบที่เราได้จากขนมแครกเกอร์ มีความกลมกล่อมเหมือนกับทอฟฟี่ บัตเตอร์สกอตซ์ และยังมีกลิ่นที่หอมหวานของลูกพีช น้ำตาลทรายแดง ความหอมหวานของข้าวมอลต์ เมื่อลองจิบจะรู้สึกได้ถึงความพอดีของกลิ่นอบเชยและกลิ่นที่หอมหวานทิ้งไว้ให้เรารู้สึกได้ในระยะเวลาหนึ่งทีเดียว ถือว่ามีความซับซ้อนในกลิ่นและรสชาติ ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นที่มีกลิ่นและรสชาติที่ชวนให้น่าติดตามและเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก ด้วยกลิ่นของเหล้าวิสกี้ที่เต็มไปด้วยความเบาบางและนุ่มนวลอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเนื้อครีมบวกกันกับรสชาติของเหล้าชนิดนี้ที่มีความหอมหวานและรสสัมผัสของผลไม้หลากหลายชนิด เช่น ลูกพีชที่ผสานกันกับน้ำตาลทรายแดงและข้าวมอลต์อย่างลงตัวอย่างมาก
Firkin 49
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Posts navigation
แนะนำเหล้านอก
error: Content is protected !!